1.ข้อใดไม่ใช่ประเทศที่มีการปกครองด้วยระบอบเผด็จการทหาร ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ?

• เยอรมนี

• อิตาลี

• ญี่ปุ่น

• ฝรั่งเศส

Answer explanation

การเติบโตของลัทธิทหารนิยม ประเทศต่างๆ โดยเฉพาะ เยอรมนี อิตาลี และญี่ปุ่น ได้เสริมสร้างกําลังทหารและกําลังอาวุธเพื่อเตรียมตัวสร้างกองทัพที่เข้มแข็งและป้องกันตนเอง เมื่อบรรยากาศของความไม่ไว้วางใจกันก่อตัวขึ้นและลัทธิทหารนิยมกลับมามีบทบาทสําคัญทางการเมือง

2.ข้อใดไม่ใช่สาเหตุของการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ?

• ความล้มเหลวขององค์การสันนิบาตชาติ

• ความรู้สึกชาตินิยมในหมู่ประชาชน

• การแสวงหาอำนาจในอาณานิคม

• ความแตกต่างของอุดมการณ์ทางการเมือง

Answer explanation

สงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดจากการรวมกันของหลายปัจจัยซึ่งมีความซับซ้อนและเชื่อมโยงกัน โดยสามารถแบ่งออกเป็นสาเหตุหลักๆ ได้ดังนี้:

1. ระบบพันธมิตร (Alliance System):

   • ความขัดแย้งของพันธมิตร: ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 มีการจัดตั้งพันธมิตรทางทหารระหว่างประเทศต่างๆ ที่เป็นการรวมกลุ่มเพื่อความมั่นคงและป้องกันการรุกรานจากฝ่ายตรงข้าม ตัวอย่างเช่น พันธมิตรสามฝ่าย (Triple Entente) ซึ่งประกอบด้วยฝรั่งเศส, อังกฤษ, และรัสเซีย และพันธมิตรสามฝ่าย (Triple Alliance) ซึ่งประกอบด้วยเยอรมนี, ออสเตรีย-ฮังการี, และอิตาลี

   • การขยายตัวของพันธมิตร: การขยายตัวและการเปลี่ยนแปลงในพันธมิตรทำให้เกิดการเสริมสร้างความตึงเครียดระหว่างประเทศต่างๆ เนื่องจากความกังวลว่าจะเกิดการละเมิดหรือขยายอิทธิพลจากฝ่ายตรงข้าม

2. ชาตินิยม (Nationalism):

   • ความต้องการของชาติ: การเกิดความรู้สึกชาตินิยมสูงในหลายประเทศทำให้มีความต้องการที่จะขยายดินแดนหรือเสริมสร้างอำนาจของประเทศตน ซึ่งสร้างความขัดแย้งระหว่างชาติ

   • ความขัดแย้งในยุโรป: การขยายอำนาจและผลประโยชน์ของชาติทำให้เกิดความตึงเครียดในยุโรป โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการปกครองหลายเชื้อชาติ เช่น บัลแกเรีย, โปแลนด์, และภูมิภาคของออสเตรีย-ฮังการี

3. การทหารและการแข่งขัน (Militarism and Arms Race):

   • การสะสมอาวุธ: การแข่งขันทางทหารและการสะสมอาวุธระหว่างประเทศใหญ่ๆ เช่น เยอรมนีและอังกฤษทำให้เกิดความตึงเครียดเพิ่มขึ้น

   • การเตรียมพร้อมสงคราม: ประเทศต่างๆ มีการเตรียมพร้อมสงครามและเพิ่มกำลังทหาร ซึ่งทำให้สถานการณ์เป็นไปได้ง่ายขึ้นในการเกิดความขัดแย้ง

4. การลอบสังหาร (Assassination of Archduke Franz Ferdinand):

   • เหตุการณ์สำคัญ: การลอบสังหารอาร์คดยุกฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์ แห่งออสเตรีย-ฮังการี และภรรยาในวันที่ 28 มิถุนายน 1914 ที่เมืองซาราเยโว โดยกองกำลังชาตินิยมเซิร์บ ทำให้เกิดการตอบโต้จากออสเตรีย-ฮังการีและสร้างแรงกระตุ้นให้เกิดสงคราม

5. ความขัดแย้งในยุโรปตะวันออกและตะวันตก:

   • ความขัดแย้งทางการเมือง: ความขัดแย้งในยุโรปตะวันออกโดยเฉพาะในบริเวณบัลข่านและการรวมกลุ่มในยุโรปตะวันตกมีส่วนทำให้เกิดสงคราม เนื่องจากการรวมกลุ่มที่ซับซ้อนและความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในภูมิภาคนี้

การรวมกันของปัจจัยเหล่านี้ทำให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งกลายเป็นสงครามใหญ่ที่มีผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อประเทศต่างๆ และเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ทางการเมืองและเศรษฐกิจของโลก

3.สงครามเย็นแตกต่างจากสงครามครั้งอื่นอย่างไร ?

• การรบเกิดขึ้นเฉพาะฤดูหนาว

• ไม่มีการสู้รบเกิดขึ้นจริงตลอดช่วงสงคราม

• ประเทศคู่สงครามไม่เผชิญหน้ากันโดยตรง

• ใช้การเจรจาทางการทูตเพื่อแก้ไขความขัดแย้ง

Answer explanation

รูปแบบของความขัดแย้งในสงครามเย็นนั้น จะไม่ใช้การเผชิญหน้าโดยตรงระหว่างสหรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียต การแข่งขันของทั้งสองฝ่ายมีหลายรูปแบบ เช่น การสะสมอาวุธและการทําสงครามผ่านตัวแทนหรือประเทศบริวาร เช่น สงครามเวียดนามที่เป็นการรบกันระหว่างเวียดนามเหนือซึ่งสนับสนุนโดยสหภาพโซเวียตกับเวียดนามใต้ซึ่งสนับสนุนโดยสหรัฐอเมริกา โดยทั้งสองมหาอํานาจให้ความช่วยเหลือทางการเงินและอาวุธยุทธปัจจัย

4.ข้อใดคือจุดประสงค์ขององค์การสหประชาชาติ ?

• ลดความขัดแย้งในโลกอิสลาม

• ปกป้องผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกา

• ดำรงไว้ซึ่งสันติภาพระหว่างประเทศ

• ขจัดอุปสรรคทางการค้าระหว่างประเทศ

Answer explanation

สหประชาชาติ เป็นองค์การระหว่างประเทศที่กําเนิดขึ้นภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สหประชาชาติมีจุดประสงค์เพื่อให้เกิดสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศโดยอยู่บนหลักพื้นฐานของความยุติธรรม ศักดิ์ศรีของมนุษย์และการกินดีอยู่ดีของทุกคน

5.สงครามโลกครั้งที่ 2 ฝ่ายใดเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ ?

• ฝ่ายอักษะ

• ฝ่ายสัมพันธมิตร

• ฝ่ายคอมมิวนิสต์

• ฝ่ายสหประชาชาติ

Answer explanation

สงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเริ่มต้นในปี 1939 และสิ้นสุดในปี 1945 มีฝ่ายที่ได้รับชัยชนะคือฝ่ายพันธมิตร (Allied Powers) ซึ่งประกอบด้วยสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร สหภาพโซเวียต (ปัจจุบันคือรัสเซีย) ฝรั่งเศส และประเทศพันธมิตรอื่น ๆ อีกหลายประเทศ ฝ่ายอักษะ (Axis Powers) ซึ่งนำโดยเยอรมนี ญี่ปุ่น และอิตาลี เป็นฝ่ายที่พ่ายแพ้ในการสงครามครั้งนี้

ข้อใดคือส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ?

• การละเมิดสิทธิมนุษยชนในยุโรป

• เยอรมนียิงปืนใหญ่ใส่เขตปลอดทหารของฝรั่งเศส

• การลอบปลงพระชนม์มกุฎราชกุมารแห่งออสเตรีย-ฮังการี

• ฝรั่งเศสนำเรือรบปิดน่านน้ำของประเทศอิตาลีและตุรกี

Answer explanation

การลอบปลงพระชนม์มกุฎราชกุมารแห่งออสเตรีย-ฮังการีเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญในประวัติศาสตร์โลก เนื่องจากมันเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่ 1 เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 1914 ที่เมืองซาราเยโว ซึ่งในขณะนั้นเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี

มกุฎราชกุมารฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์ (Archduke Franz Ferdinand) และพระชายาของพระองค์ ซอฟี (Sophie, Duchess of Hohenberg) ถูกลอบปลงพระชนม์โดยการลอบยิงของกลุ่มนักปฏิวัติชาวเซิร์บที่เรียกตัวเองว่า "กลุ่มดำ" (Black Hand) ซึ่งมีเป้าหมายในการแยกดินแดนจากจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีและสร้างชาติใหม่ที่รวมชาวเซิร์บ

การลอบปลงพระชนม์นี้ทำให้เกิดแรงกดดันทางการเมืองและการทูตอย่างรุนแรง ส่งผลให้เกิดการเผชิญหน้าระหว่างพันธมิตรต่างๆ ในยุโรป และในที่สุดจุดชนวนให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งมีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงในยุโรปและทั่วโลกอย่างกว้างขวาง

7.สงครามเย็นเกิดขึ้นเมื่อใด ?

• ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1

• หลังสงครามโลกครั้งที่ 1

• ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2

• หลังสงครามโลกครั้งที่ 2

Answer explanation

สงครามเย็นเริ่มต้นหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงในปี 1945 และยืดเยื้อจนถึงปี 1991 การเผชิญหน้าหลัก ๆ ระหว่างสองมหาอำนาจคือสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต (รัสเซียในปัจจุบัน) สงครามเย็นไม่ใช่สงครามทางการทหารตรง ๆ แต่เป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความตึงเครียด การแข่งขันทางการเมือง การแข่งขันทางเศรษฐกิจ และการแข่งขันทางทหารระหว่างสองฝ่ายนี้

8.การต่อสู้ทางจิตวิทยา คืออไร ?

• การสะสมอาวุธ กองกำลังทหาร และโฆษณาชวนเชื่อ

• ภาวะที่ทหารมีอาการหวาดกลัวต้องพบจิตแพทย์

• มหาอำนาจใช้อาวุธที่มีกำลังทำลายล้างสูงสู้รบกัน

• การติดต่อทางการฑูตเพื่อยุติสงคราม

Answer explanation

การสะสมอาวุธ กองกำลังทหาร และการโฆษณาชวนเชื่อเป็นส่วนสำคัญของสงครามเย็น ดังนี้:

1. การสะสมอาวุธ: ทั้งสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตต่างพยายามสะสมและพัฒนาอาวุธใหม่ ๆ โดยเฉพาะอาวุธนิวเคลียร์ การแข่งขันนี้นำไปสู่การพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ที่มีพลังทำลายล้างสูงและการสร้างระบบขีปนาวุธที่สามารถโจมตีได้ไกล

2. การสร้างกองกำลังทหาร: ทั้งสองฝ่ายเพิ่มการลงทุนในกองกำลังทหารและกองทัพของตน การฝึกฝนทหาร การพัฒนาเทคโนโลยีทางทหาร และการสร้างฐานทัพในพื้นที่ยุทธศาสตร์ต่าง ๆ เพื่อสร้างอำนาจทางทหารและป้องกันภัยจากฝ่ายตรงข้าม

3. การโฆษณาชวนเชื่อ: การใช้สื่อเพื่อกระตุ้นความรู้สึกชาตินิยมและสร้างความกลัวหรือความไม่ไว้วางใจต่อฝ่ายตรงข้ามมีบทบาทสำคัญ ในสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต ทั้งสองฝ่ายใช้สื่อ เช่น โทรทัศน์ วิทยุ และป้ายโฆษณา เพื่อเผยแพร่ข้อความที่สนับสนุนฝ่ายของตนและโจมตีฝ่ายตรงข้าม

ทั้งหมดนี้เป็นกลยุทธ์ที่ใช้ในการรักษาและขยายอิทธิพลของแต่ละฝ่ายในสงครามเย็น โดยหวังว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงในสมดุลของอำนาจโลกโดยที่ไม่ต้องเกิดสงครามทางการทหารโดยตรง

9.หลังจากจบสงครามโลกครั้งที่ 2 ส่งผลให้ประเทศอะไรกลายเป็นมหาอำนาจ ?

• อังกฤษ กับ ฝรั่งเศส

• อังกฤษ กับ อเมริกา

• อเมริกา กับ ญี่ปุ่น

• อเมริกา กับ สหภาพโซเวียด

Answer explanation

หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงในปี 1945 สหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตกลายเป็นมหาอำนาจหลักสองประเทศที่มีอิทธิพลสูงสุดในเวทีโลก:

1. สหรัฐอเมริกา: ประเทศนี้กลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจและทหารที่สำคัญ ด้วยเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวเร็วและอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่ง นอกจากนี้ยังมีอิทธิพลทางการเมืองและวัฒนธรรมที่กว้างขวาง รวมถึงการเป็นผู้นำในด้านการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์และเทคโนโลยี

2. สหภาพโซเวียต: หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สหภาพโซเวียตมีอิทธิพลทางการเมืองและทหารในยุโรปตะวันออกและเอเชียกลาง การขยายอิทธิพลของพรรคคอมมิวนิสต์และการควบคุมดินแดนในภูมิภาคที่ถูกครอบงำในสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้สหภาพโซเวียตเป็นคู่แข่งสำคัญของสหรัฐอเมริกาในยุคสงครามเย็น

การเพิ่มขึ้นของอำนาจของสองประเทศนี้ได้สร้างความตึงเครียดและการแข่งขันในระดับโลก ซึ่งนำไปสู่สงครามเย็นที่ยืดเยื้อระหว่างสองฝ่าย.

10.ข้อใดเกี่ยวข้องกับการยุติสงครามเย็น ?

• ญี่ปุ่นแพ้สงคราม

• การตั้งกลุ่มสนธิสัญญาวอร์ซอ

• การล่มสลายของสหภาพโซเวียด

• จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ล่มสลาย

Answer explanation

การล่มสลายของสหภาพโซเวียตเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับสงครามเย็นในหลายประเด็นสำคัญ:

1. ความตึงเครียดระหว่างมหาอำนาจ: สงครามเย็นเป็นยุคที่เต็มไปด้วยการแข่งขันทางการทหารและทางเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างพยายามขยายอิทธิพลของตนในระดับโลก การใช้ทรัพยากรจำนวนมากในการแข่งขันด้านอาวุธและการรักษาความมั่นคงทางทหารทำให้สหภาพโซเวียตประสบปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างหนัก

2. การสิ้นสุดของการสนับสนุน: ในช่วงปลายสงครามเย็น ความสามารถของสหภาพโซเวียตในการสนับสนุนพันธมิตรและกลุ่มชาติคอมมิวนิสต์ทั่วโลกเริ่มลดลง ส่งผลให้สูญเสียอิทธิพลและฐานการสนับสนุนระหว่างประเทศ การสนับสนุนการเคลื่อนไหวเพื่อการปฏิวัติในประเทศต่าง ๆ เช่น ในอัฟกานิสถาน และการแทรกแซงทางทหารในประเทศอื่น ๆ ได้กลายเป็นภาระทางการเงินที่ใหญ่หลวง

3. การปฏิรูปและการเปิดเผยข้อมูล: การปฏิรูปของมิกาอิล กอร์บาชอฟ เช่น เปเรสตรอยกา (การปฏิรูปทางเศรษฐกิจ) และกลาสโนสต์ (การเปิดเผยข้อมูลและเสรีภาพในการพูด) เกิดขึ้นเพื่อตอบสนองต่อแรงกดดันจากทั้งภายในและภายนอก และเป็นผลมาจากการแข่งขันกับตะวันตก แต่การปฏิรูปเหล่านี้ไม่ได้แก้ไขปัญหาที่แท้จริงและยังเพิ่มความตึงเครียดภายใน

4. ความล้มเหลวของการควบคุมในยุโรปตะวันออก: การล่มสลายของระบอบคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออกในปี 1989 (เช่น การล่มสลายของกำแพงเบอร์ลิน) ส่งผลให้สหภาพโซเวียตสูญเสียอิทธิพลในภูมิภาคนี้ การเปลี่ยนแปลงในยุโรปตะวันออกและการล้มล้างรัฐบาลที่ได้รับการสนับสนุนจากโซเวียตมีผลกระทบอย่างมากต่อการล่มสลายของสหภาพโซเวียต

5. การรัฐประหารในปี 1991: การพยายามรัฐประหารโดยกลุ่มเจ้าหน้าที่ที่ไม่เห็นด้วยกับการปฏิรูปของกอร์บาชอฟในเดือนสิงหาคม 1991 ล้มเหลว แต่ทำให้เกิดความไม่สงบและเพิ่มแรงกดดันภายใน ที่ส่งผลให้เกิดการแยกตัวของสาธารณรัฐต่าง ๆ

การล่มสลายของสหภาพโซเวียตเป็นจุดสิ้นสุดของสงครามเย็น และเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในโครงสร้างทางการเมืองและเศรษฐกิจของโลก โดยนำไปสู่การสิ้นสุดของการแข่งขันระหว่างสองมหาอำนาจหลักและการเปลี่ยนแปลงในลักษณะของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในยุคใหม่